การสร้าง WebSite ประกอบด้วยอะไรบ้าง

    การมีตัวตนของธุรกิจบนโลก Online กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในโลกปัจจุบัญนั้นก็คือการมีWebSiteเป็นของตนเองนั้นเอง แต่ก็มีคำถามอยู่หลายคำถามที่ชวนงง? ชวนสงสัย เช่นว่า การจะทำ WebSite หรืออยากมี WebSite ของตนเองนั้นต้องเริ่มยังไง และแต่ละขั้นตอนต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งมั่นใจว่าผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการทราบข้อมูลคร่าวๆบ้างว่ามันมีลำดับขั้นตอนการทำยังไง ไม่ใช้ให้จ่ายเงินอย่างเดียว จบ แต่ไม่รู้อะไรเลย พนังงานขายก็ไม่เคยอธิบายให้ทราบ ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นที่มาของบทความนี้ ซึ่งต้องการอธิบายให้ทราบถึงขั้นตอนการทำ WebSite พื้นฐาน ใน 1 Website ต้องประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆคือ

1.Program ที่ใช้เขียน WebSite

    
      ที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดมีดังนี้
    
1.1 Notepad/Editplus เป็นโปรแกรม Text Editorสร้าง Web อย่างง่ายๆโดยสามารถเขียนเป็นภาษา     
       HTML CSS, PHP, ASP, Perl, C/C++, Java เป็นต้น ซึ่ง Website สำเร็จรูปส่วนใหญ่ก็มักถูก 
       เขียนด้วย Notepad/Editplus เช่นกัน

1.2 CMS script(Content Management System) เป็นระบบเว็บสำเร็จรูป ที่เราแค่ติดตั้งระบบด้วยการ  
      คลิกไม่กี่คลิก ก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ใส่เนื้อหาที่เราต้องการลงไปได้เลย ระบบเว็บแบบ CMS นี้ ที่ดังๆ
      ในบ้านเรา คนนิยมใช้เยอะ  เช่น Wordpress, Joomla, Php-Nuke, Mambo, Xoops, Drupal เป็นต้น 
     
       สรุป แนวทางการเขียน WebSite นั้นสามารถเขียนได้หลายภาษา ใชได้หลายโปรแกรมแล้วแต่ความชำนาญและความสะดวกของ Programmer เอง แต่บ่อยครั้งที่มีคนถามว่าควรใช้โปรแกรมไหนเขียน Web แล้วออกมา "ดีที่สุด"  แต่คำว่า"ดีที่สุด"ในที่นี้คืออะไร?  ใช้งานง่ายหรือ ทำออกมาได้สวยงามหรือ คนนิยมและกล่าวชื่อถึงมากหรือ ฯลฯ แต่สำหรับผมแล้วตามความเข้าใจส่วนตัวและที่พบเห็นมา ว่า ไม่มีโปรแกรมไหนที่สร้างWebได้ดีที่สุด สมบููููรณ์ที่สุด แต่มันขึ้นอยู่ที่ความเหมาะสมและการใช้งาน กับงานทำ Web นั้นๆมากกว่า
      

2.ตั้งชื่อให้กับ WebSite 

    
      หรือการจด Domain Name นั้นเอง  Domain Name เปรียบเหมือนการมีเลขที่บ้านให้กับWebของเรา ถ้ามีแต่Web แต่ไม่มีชื่อDomine ก็เหมือนบ้านไม่มีเลขที่บ้าน ไปรษณีย์ก็มาส่งจดหมายไม่ถูก (การจดDomain ช่วยให้คนรู้จักชื่อWebของเรา ถ้าไม่มี Domain คนก็ไม่รู้จะเข้ามาเจอWebเราได้ยังไง) Domain Name ส่วนใหญ่สามารถหาซื้อหรือจดได้ตาม WebSite ที่รับจดซึ่งมีอยู่ทั่วไป ราคาก็ไม่สูงนัก และในปัจจุบัญการจด Domain ยังสามารถจดได้ในชื่อภาษาท้องถิ่นได้อีกด้วยอย่างในบ้านเราก็เริ่มมีการจดเป็นDomain ภาษาไทยกันแล้ว
Remark ( คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าถ้าเอาชื่อ product ของธุรกิจตนเองมาจดเป็นชื่อ Domainภาษาไทย จะทำให้ WebSiteของตนถูกพบเห็นและขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ หน้าแรกๆของ search engine ชื่อดังอย่าง Google ได้ แต่ในความเป็นจริงต้องใช้คำว่า"มีโอกาศ"มากกว่า เพราะบางชื่อจดแล้วก็ไม่ขึ้นมีถมไป ดังนั้นการขึ้นไม่ขึ้นจึงอยู่ที่หลายปัจจัย จะคิดเอาเองว่าจดDomain ภาษาไทยแล้วขึ้นแน่นอนคงไม่ได้)
         เมื่อได้ชื่อแล้วก็ต้องหา ดอท (.) ลงตามหลังDomainให้ได้ซึ่งดอทนั้นมีอยู่หลายประเภทด้วยกันแยกออกได้ดังนี้
.com เป็นนามสกุลที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสั้นและจำได้ง่าย นามสกุล .com นี้เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจ หรือ WebSiteทุกประเภท แต่ชื่อที่จะสามารถจดทะเบียนได้นั้นมีน้อยมากแล้ว เพราะชื่อดีๆส่วนใหญ่ถูกจดทะเบียนหมดแล้ว
.net แสดงถึง Webที่เกี่ยวกับระบบเครือข่าย Internet
.org เป็นนามสกุลDomain ที่เหมาะสำหรับองค์กรทุกประเภทที่ไม่มุ่งหวังผลกำไร เช่น หน่วยงานราชการ มูลนิธิ เป็นต้น
.biz เป็นนามสกุลDomainที่จะมาแทนที่ .com เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจ หรือ WebSiteทุกประเภท กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ
.info เป็นนามสกุลที่เหมาะสำหรับองค์กร หรือ WebSiteที่ให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ ข่าวสาร ทุกประเภท

.th ในส่วนของนามสกุล .th นี้จะเป็นการบอกว่า WebSiteที่จดทะเบียนDomainภายใต้ .th นี้เป็นองค์กรที่อยู่ภายในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยDomain

.in.th เหมาะสำหรับ WebSite ของบุคคลทั่วไป หรือหน่วยงานในประเทสไทย
.co.th เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลภายในประเทสไทย
.ac.th เหมาะสำหรับWebSiteที่เป็นสถาบันการศึกษาของประเทศไทย
.go.th เหมาะสำหรับองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐบาลไทย
.or.th นามสกุลนี้จะเหมือนกับ .go.th แต่ต่างกันตรงที่บอกว่าเป็นองค์กร หรือหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไรในประเทศไทย
.mi.th เหมาะสำหรับหน่วยงานทหารในประเทสไทย


3.หาที่อยู่ให้กับ WebSite



   นั้นก็คือการหาเช่า Hosting นั้นเองหากDomain Name เปรียบเหมือนเลขที่บ้านให้กับWebของเรา 
การเช่าHosting ก็เหมือนการจัดเตรียมที่ดินให้กับบ้าน ถ้ามีแต่ตัวบ้าน แต่ไม่มีที่ดิน บ้านก็คงไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ไม่มีบ้านหลังไหน ลอยอยู่กลางอากาศได้ WebSite ก็เช่นกัน ถ้าไม่เอาWebของเราขึ้นไปเก็บไว้บนHosting ก็เหมือนกับWebเราไม่มีที่ตั้งถาวรที่แน่นอน คนก็ไม่สามารถเข้ามาเจอเว็บเราได้เช่นกัน ดังนั้น การจดDomain และการเช่าHosting จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้Websiteของเรามีตัวตนอยู่จริงๆ ปกติราคาค่าเช่าHosting มักคิดเป็นรายปีเหมือนกับการต่ออายุชื่อของ Domain ก็เช่นกัน

      

      เมื่อเราได้ครบทั้งสามส่วนก็สามารถมี WebSiteเป็นของตนเองได้ครบสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันการมีWebSiteไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเพราะมีหลายบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับการทำWebSite สำเร็จรูปภายใต้งบประมาณที่ไม่แพงมากเหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเรา ( เช่นบริการทำWebSiteกับ Thailand Yellowpages)
แต่ถ้าหากอยากได้WebSiteที่แปลกไม่ซ้ำใครและมีFunction ทันสมัยครบถ้วนเหมาะกับประเภทของธุรกิจเฉพาะทาง ก็สามารถติดต่อหาจ้างได้ตามสื่อต่างๆได้ทั่วไป แต่ก่อนจ้างอยากขอให้ดูชื่อที่จดเป็นบริษัท ผลงานที่เขาเคยทำ เพราะการจ้างลักษะแบบนี้ (make to order)เป็นการทำWebSiteแบบเฉพาะ คือแล้วแต่ตกลง แต่ละจ้าวคิดราคาถูกแพงไม่เท่ากัน จึงอยากให้ดูความน่าเชื่อถือและตรงต่อความต้องการของเรา เป็นหลักสำคัญอย่าเอาแต่ราคาถูกเพียงอย่างเดียว





By Pasit.Ap : http://www.facebook.com/Pasit.CRM
แหล่งที่มา http://goo.gl/lkd3h
                 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/315712?

Standard Package

Standard Package 
สู่มาตรฐานออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง



The Perfect Solution เพียงลงโฆษณาบนสมุดหน้าเหลืองและซื้อ Standard Packageจะได้รับดังนี้
 1.มีระบบค้นหาข้อมูลได้ทั้งจากคำค้น (Key Word) ค้นจากแผนที่ (Map Search) ค้นจาก 
     รูปภาพค้นจากหมวดสินค้าและบริการ โฆษณาแบบ AdSearchบนเว็บไซต์เครือข่ายหน้าเหลือง
2.มีหน้า Landing Page แบบ Custom ใช้โฆษณาข้อมูลและรายละเอียดธุรกิจบน  www.Typlive.com
 3.ค้นหาข้อมูลได้บนโทรศัพท์มือถือ จาก WapSite ,m.yellowpages.co.th และบน  Mobile
     Application ของ Smart Phone ทุกค่าย SMS Search บนโทรศัพท์มือถือทุกรุ่น และ บริการ1188
 4.Listing On Map Search โฆษณาข้อมูลธุรกิจบนแผนที่ Online
 5.TYPlive Connect  Account สามารถคุยได้ทั้งระบบตัวอักษร  และ เสียงจำนวน 1 Main Account    
      และ สามารถ เพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้
 6.Email Account จดทะเบียนภายใต้ชื่อธุรกิจของคุณ ให้ถูกจดจำได้ง่ายขึ้น abc@Typlive.com และ  
      สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้
 7.Save To Phone ระบบส่งข้อมูลธุรกิจ และเบอร์โทร จากเว็บไซต์ไปยังโทรศัพท์มือถือ

  Standard Package เหมาะสมกับใคร?
  เป็น Package ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่คิดจะเปิดช่องทางการสื่อสาร รวมถึงการทำการตลาดแบบเล็กๆในโลกของ Online ทางความเป็นจริง ธุรกิจของเราอาจเปิด 8.30น. ปิด 17.30น. เวลานอกเหนือจากนั้นหากมีลูกค้าคุณติดต่อมา เราอาจตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร การมีหน้า Landing Page เพื่อบรรยายถึงProfileธุรกิจเรา มีรูปภาพที่เกี่ยวข่องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา โชว์แสดงภาพแบบSlide และ VedioClip รวมถึงมีแผนที่แสดงถึงที่ตั้งธุรกิจเรา LandingPage จึงเปรียบเสมือนหน้าProfile สำเร็จรูปที่อธิบายถึงธุรกิจที่เราทำรวมถึงช่องทางการติดต่อที่ ลูกค้าจะสามารถหาธุรกิจของเราเจอได้ในโลก Online รวมถึงระบบ Search Engine ต่างๆด้วย

By Pasit.Ap : http://www.facebook.com/Pasit.CRM






   



SEOสูตรใครก็สูตรมันสิ

     

      ว่าด้วยเรื่องของการทำ SEO : Search Engine Optimisation นั้นมีมาช้านานแล้วและมีหลากหลายตำรามากมายให้เราได้ค้นหาอ่านกันทั้งทางโลกOnline,หนังสือ,หรือบทความต่างๆ แต่ละแนวทางก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการทำให้WebSiteของตัวเองแสดงผลอยู่หน้าแรกๆของGoogle โดยวิธีที่ทำก็มีหลายหลายวิธีเช่นกัน บางกูรูก็ว่าวิธีการทำให้ WebSite ของตัวเองมาแสดงผลอยู่หน้าแรกๆของGoogleนั้นแบ่งออกเป็นสองแนวทางใหญ่ๆคือ

1.การซื้อโฆษณากับGoogleAdWordsโดยใช้วิธีPPC:Pay Per   
   Cilck
   คือการทำโฆษณาบนหน้าGoogleให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ซึ่งเมื่อคลิกที่โฆษณานั้นก็จะLinkไปยังWebSiteที่เรากำหนดไว้ ซึ่งเราจะเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกเท่านั้น โดยโฆษณาของเราจะปรากฎตามKeywordที่เราเลือก ซึ่งKeywordแต่ละคำก็จะมีคนให้มูลค่าของมันไม่เท่ากัน ใครให้มากกว่า ก็ให้ขึ้นก่อน เงินใครหนาก็อยู่ได้นานกว่า ดังนั้นปัจจัยแห่งความสำเร็จของวิธีนี้ก็คือจำนวนเงินที่ไปกองไว้กับGoogleนั้นเอง ถ้าเงินหมดก็จบกัน

2.การทำSEOโดยตรง
   ยังสามารถแบบออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ๆคือ

2.1การทำSEOสายขาวหรือWhiteHat



         คือการทำโดยใช้กระบวนการตามข้อกำหนดของ Seach Engine ทั้งหลาย ซึ่งวิธีการเหล่านั้นก็คือ การทำตามปกติของการทำ SEO โดยทั่วไปแบ่งย่อยได้ 2 วิธีใหญ่ๆ

     การทำSEOแบบ On Page หรือ On Site 
     คือกระบวนการปรับแต่งSEOบนWebSiteของเราเอง


   1.การออกแบบหน้าWebSiteสำหรับSEO  
        ซึ่งการออกแบบหน้าWebSiteที่ดีนั้นควรจะมี
       -เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของWebSiteต้องชัดเจน คือต้องการทำWebSiteอะไร เนื้อหาข้อมูล    
         ภายในเว็บก็ควรไปในทิศทางเดียวกันทั้งWebSite
       -ขนาดขององค์ประกอบต่างๆที่อยู่บนเว็บควรมีขนาดที่เหมาะสม เน้นความสบายตาของผู้เข้าชม
       -ออกแบบให้หน้าเพจต่างๆภายในWebSiteมีการเชื่อมโยงถึงกัน คือให้มีLinkเชื่อมโยงกันภายใน
         WebSiteถึงกันทุกหน้าเสมอ
       -จัดทำแผนผังWebSiteหรือSiteMapให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้คนที่เยื่ยมชมและBotเข้าใจแผนผัง  
         ของWebSiteเราได้อย่างง่ายดาย
       -เน้นหัวข้อหรือKeywordของWebSiteด้วยการใส่ตัวหนาหรือใส่Linkในหัวข้อที่สำคัญ
       -แทรกURLในTextหรือรูปภาพเสมอ (ทำให้ติดนิสัยนะครับส่วนนี้จะช่วยเราได้มาก)
       -ความรวดเร็วในการโหลดเข้าหน้าเว็บควรออกแบบให้โหลดได้อย่างรวดเร็วจึงควรหลีกเลี่ยงภาพ
         กราฟฟิกที่กินพื้นที่เยอะๆหรือภาพขนาดใหญ่ที่เกินความจำเป็น
       -ควรตั้งชื่อURLให้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในWebSite
   
    2.การปรับแต่งโดยเพิ่มKeywordลงในWebSite
     คือการปรับแต่งแก้ไขในส่วนของภาษาHTMLคือการเพิ่มKeywordลงไปในส่วนของ
        Title เป็นข้อความสำหรับบอกให้ทราบว่าหน้าWebSiteที่กำลังแสดงผลอยู่นั้นมีหัวข้อเกี่ยวกับอะไร
        Meta Tag Description เป็นการบรรยายถึงรายละเอียดหน้าWebSiteนั้นๆของเรา
        Meta Tag Keyword เป็นการกำหนดค่าสำหรับการค้นหาข้อมูลในWebSiteหน้านั้นๆ

   3.การแลกLinkกับWebSiteอื่นๆ
     เป็นเทคนิคในการเพิ่มค่าPRให้กับWebSiteเราเหมือนกับการทำBackLinkคือการทำWebSite 2   WebSiteให้เชื่อมโยงกันผ่านLink ยิ่งถ้าเว็บที่รับแลกLinkนั้นมีค่าPRสูงก็จะทำให้WebSiteเรามีค่า
PRสูงขึ้นตามไปด้วยโดยมีข้อแม้ว่าWebSiteเหล่านั้นจะต้องมีเนื้อหาทีเกี่ยวข้องกับWebSiteของเรา
และอาจส่งผลให้WebSiteเราติดอันดับGoogleได้อีกด้วย
         -การแลกLinkมี2วิธีคือ การฝากBannerฟรีตามเว็บต่างๆ หรือแบบเสียค่าใช้จ่ายให้กับWebSiteที่   
          มีค่าPRสูงๆที่รับแลกLink
         -การสร้างLinkWheelหรือวงล้อเชื่อมโยง คือการสร้างWebSiteที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันแล้ว  
          ทำBackLinkให้เชื่อมโยงถึงกันและสุดท้ายก็ต้องทำLinkกลับมายังWebSiteหลักของเรา



      การทำSEOแบบ Off Page หรือ Off Site
     คือกระบวนการปรับแต่งSEOที่นอกเหนือไปจากการปรับแต่งจัดการหน้าWebSiteของเราเองซึ่ง อาจทำได้โดยวิธีการเหล่านี้

     

   1.การทำBackLinkด้วยการโพสต์
      การเพิ่มจำนวนBackLinkนั้นสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
          -การโพสขายสินค้า(Submit Article) ด้วยKeywordที่มีบนWebSiteของเรา ควรเลือกโพสขาย   
           สินค้าในเว็บที่มีค่าPRสูงๆเช่น http://www.marketthai.comhttp://www.pantipmarket.com/
            http://www.dealfish.co.th/ ,http://www.tarad.com/
      -การโพสตอบกระทู้ด้วยคีย์เวิร์ดที่มีบนWebSiteเรา หรือการโพสตอบกระทู้โดยแทรกลายเซ็นต์ 
            ต่อท้ายไว้ในกระทู้ที่ตอบ คือการใส่ชื่อWebSiteของเราและทำให้สามารถLinkกลับมายัง
            WebSiteหลักของเรานั้นเอง
          -การนำเอาWebSiteหรือBlogของเราไปSubmitที่ WebDirectory หรือ WebSiteต่างๆ
          -การแลกLinkกับWebSiteอื่นๆ

     2.จัดทำSiteMapหรือแผนผังWebSite
      การทำSiteMapทำเพื่อที่จะระบุว่าWebsiteของเรานั้นมีหน้าเว็บเพจต่างๆอยู่ที่ไหนบ้าง มีการ   
 เชื่อมโยงกันอย่างไรทั้งหมดเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับBotของGoogleเข้ามาเก็บข้อมูล
 ในWebSiteของเรา

      3.SubmissionWebSite
      การซับมิทเว็บไซต์คือการประกาศหรือบอกให้SearchEngineดังๆทั้งหลายทราบว่ามีWebSite
  ของเราอยู่ในโลกของInternetแล้ว WebSiteของเราชื่อนี้นะ เพื่อที่จะให้ทางGoogleหรือWebSiteต่าง
  ๆได้เก็บข้อมูลWebSiteของเราลงในDirectory การSubmissควรทำกับWebดังๆ  
  อย่างYahoo,Sanook,Yellowpages,หรือWebที่มีค่าPRสูงๆ นอกจากนั้นอาจมีวิธีอื่นๆอีกเช่น
           -การเรียกBotเข้ามาเก็บข้อมูลด้วยPing( Pingจะทำงานก็ต่อเมื่อมีการUpDateข้อมูลเนื้อหาใหม่ๆ  
            ภายในWebSiteของเราเกิดขึ้น
           -การเพิ่มสคริปต์เรียกBotบนHTML WebSite

      4.การUpDateContentผ่านทางSMO
       SMOหมายถึง(SocialMediaOptimisation)วิธีนี้ถือว่ากำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักทำSEOทั้งหลายเนื่องจากตัวเลขการเติบโตของSocialMediaต่างๆกำลังดีวันดีคืนโดยเฉพาะ
Facebook,Twitter,Youtubeและน้องใหม่มาแรงทั้งหลายอย่างInstagram,GooglePlus เหตุผลสำคัญที่ทำให้ช่องทางนี้เป็นที่นิยมเพราะการUpdateContentต่างๆหรือรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับKeyWordในธุรกิจเรามันสามารถถูกShareได้โดยตัวUserทั่วไปที่เข้ามาอ่านดังคำที่ว่าถ้าชอบกดLikeถ้าใช้กดShare
ข้อมูลContentก็จะถูกส่งต่อออกไปอย่างรวดเร็วหรืออาจถึงขั้นเป็นViralเลยก็ได้
      
    2.2การทำSEOสายดำหรือBlackHat
                  

        เป็นการทำให้WebSiteของเราติดอันดับแรกๆของGoogleอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจวิธีการทำว่าจะถูกหลักหรือถูกต้องหรือไม่ก็คือว่าเป็นการโกงนั้นเอง(โกงในที่นี้คือการโกงBotของGoogleนั้นเอง)ส่วนวิธีใหญ่ๆที่นักทำSEOสายนี้นิยมทำได้ก็ได้แก่
         -การSpamKeyWord คือการเขียนKeyWordแบบซ้ำไปซ้ำมาหรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือเขียนเนื้อหาเพื่อให้Botอ่านไม่ใช่ให้คนอ่าน หวังผลทางด้านอันดับในGoogleเพียงอย่างเดียว
         -การCopyหน้าPage
         -การทำWebSiteแจกของฟรีทั้งหลายเช่น เว็บXXX ,เว็บแจกเพลงหรือคลิปหลุด, และอื่นๆอีกมากมายเพื่อหวังผลจำนวนBackLInkอันมหาศาลที่ไหลกลับมาหาเรา
         -การจ่ายเงินจ้างผู้ที่รับจ้างปั่นWebอีกทีโดยวิธีที่พวกนี้ชอบใช้กันคือส่งEmailเชิญชวนทำงานที่บ้านโดยจ่ายเงินแลกกับจำนวนคลิกที่ตัวเองต้องการปั่นให้WebSiteนั้นๆขึ้นอันดับ

         นอกจากนั้นยังมีอีกหลายวิธีที่พวกสายดำนั้นทำกัน แม้ผลของการทำSEOแบบสายดำนั้นจะทำให้WebSiteคุณขึ้นอันดับอย่างรวดเร็ว ถ้าสามารถรอดหูรอดตาบรรดาSearch Engine ต่างๆได้ก็ดีไป
แต่หากถูกBotจับได้หรือโดนตรวจพบเจอถือว่าคุณซวยแบบสุดๆเลย เพราะWebคุณจะถูกDe-IndexออกจากสารระบบของSearch EngineทุกชนิดโดยเฉพาะGoogleและจะไม่มีใครในโลกนี้หาWebSiteคุณเจออีกเลย


       
          ผู้เขียนอยากให้เห็นภาพการทำSEOซึ่งจะอุปมาอุปไมยเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ส่วนบนของภูเขา ก็เหมือนการทำSEOแบบOn Pageคือการปรับแต่งทำSEOภายในWebของเราเองซึ่งอาจสู้การทำSEOแบบ Off Pageไม่ได้เพราะการทำจากภายนอกนั้นมีวิธีการทำที่หลายหลายกว่าและอาจเป็นรากฐานสำคัญในการทำSEO เปรียบเหมือนดังส่วนล่างของภูเขาน้ำแข็งที่เป็นรากฐานของภูเขาน้ำแข็งทั้งลูกนั้นเอง
           สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ ต่อให้อ่านมากแค่ไหนแต่ถ้าไม่ลองลงมือทำเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการทำSEOวิธีไหนกันแน่ที่ได้ผล ดั้งนั้นเราควรลองลงมือทำด้วยตัวเราเองดูก่อนครับ ไม่แน่คุณอาจค้นพบวิธีการทำSEOที่สุดยอดและไม่เหมือนใครก็ได้ครับ

By Pasit.Ap: http://www.facebook.com/Pasit.CRM
                                 
                                 http://dmkt-pasit.blogspot.com/2012/09/seo.html





Case Study 2.0 : ลงโฆษณากับ Google Adwords โอกาสหรือหายนะ



กระทู้นี้ถูกเขียนขึ้นในห้อง "สีลม" ของ "WebSite ชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็ถูกแนะนำมาจากรุ่นน้องคนนึงที่เผอิญไปพบเห็นเข้าในโลกของ Social Network และส่งต่อมาให้ผมอ่าน ซึ่งในกระทู้นี้อาจมีทั้งความจริงและเท็จอยู่ในนี้ จึงอยากให้เพื่อนๆลองอ่านกันสนุกๆดูครับ

ลงโฆษณากับ Google Adwords โอกาสหรือหายนะ
ปัจจุบันแถบจะหาคนเปิดสมุดหน้าเหลืองเพื่อข้อมูลไม่ได้แล้ว ทุกวันนี้เวลาอยากหาข้อมูลอะไรสักอย่างคนส่วนมากมักจะหาทาง internet และเว็บไซต์ที่คนส่วนมากมักจะนึกถึงเป็นเว็บแรก ๆ ก็คือ Google ลูกค้าจำนวนมากที่สอบถามผมเข้ามาว่าจะติดหน้าแรก Google ต้องทำอย่างไร ผมก็มักจะแนะนำไปตรง ๆ ว่าต้องซื้อ Ads กับ Google ที่ผมไม่แนะนำให้ลูกค้าทำ SEO เองเพราะการทำ SEO จนติดหน้าแรก Google ใช้เวลาค่อนข้างนานโดยเฉพาะ keywords ที่เป็นที่นิยม การทำดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องดีกว่าคู่แข่งด้วยถึงจะขึ้นได้ แล้วถามว่าคู่แข่งของเราคือใคร ก็คือเว็บที่เราเห็นทั้งหมดบนการ search ด้วย keywords นั้น ๆ . อย่างนี้แล้วมือใหม่จะไหวหรือครับมือเก่ายังแทบไม่ไหวเลย. ดังนั้นทางลัดที่ผมแนะนำคือซื้อโฆษณากับ Google แต่มาหลัง ๆ ผมไม่รู้ว่ามันจะถูกหรือผิดทีแนะนำไปอย่างนั้น. เชื่อไหมครับลูกค้าบางคนจ่ายเงินวันละ 6,000 บาทโดยไม่ได้ลูกค้าเลย ทำวันแรกแล้วหยุดเลย พร้อมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ลงโฆษณากับ Google อีกแล้ว. ปัญหาคืออะไรครับ ? มีสองอย่างคือ

1. ลงโฆษณาผิดวิธี
ผมให้แนวโน้มที่จะเป็นข้อนี้มากกว่าบางครั้งการตั้งค่าโฆษณาผิด เขียนโฆษณาพลาดก็ทำให้ยอดคลิ๊กคุณมามหาศาลโดยไมได้ลูกค้าเลย. ผมยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเองแต่ก่อนผมทำ Affiliate กับ Amazon โดยใช้เทคนิคแบบเฉพาะเจาจงคือระบุรุ่นและยี่ห้อไปเลยสิ่งที่ทำให้ผมพลาดคือผมดันไปเขียน keywords list ไว้บน notepad เมื่อเซฟและปิดไปและเปิดขึ้นมาใหม่ notepad จะตัดบันทัดมั่ว ๆ ซั่ว ๆ ให้ซึ่งดูยากเพราะ notepad ไม่มี line number ดังนั้นจากที่ผมจะทำโฆษณา Nokia 5800 XpressMusic Unlocked เมื่อมันตัดบรรทัดผิดและผมกรอกในช่อง keyword แบบ text area กลายเป็นว่าผมทำโฆษณาด้วย keyword "Nokia" + "5800 XpressMusic"  อันหลังพอดูได้แต่อันแรกดูแล้วแววเสียเงินโดยไม่ได้ลูกค้ามาแน่. และมันก็มาจริง ๆ โดนกับ keywords "Nokia" โดยไม่ได้ลูกค้าเลยเสียเงินไปฟรี ๆ. นี่เป็นแค่ตัวอย่างครับถ้าเราไม่รู้วิธีเล่นกับ Adwords ก็หมดตัวโดยไม่ได้ลูกค้าเอาง่ายๆ 


2. เจอกับ click-fraud
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องของ click-fraud หรือการถูกคลิ๊กมั่ว ๆ ซั่ว ทั้งจากคนที่ไม่รู้และคู่แข่งเพราะมีรายงานออกมาตั้งแต่ปี 2006 ว่าอัตรา click-fraud ของ google มีเพียงแค่ 2% ( อ้างอิงจาก http://www.marketingpilgrim.com/2006/12/google-click-fraud-rate-two-percent.html ) จนไม่กี่วันนี้ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่. ถึงแม้ว่า Google จะมีวิธีที่ Google มักตอบเป็นเมล์ pattern มาว่า



"Google ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคลิกและการแสดงผลที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างมาก และห้ามมิให้ใช้วิธีการใดๆ เพื่อสร้างกิจกรรมที่ไม่ถูกต้อง เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราจะพิจารณาว่าการคลิกหรือการแสดงผลมีเจตนาที่จะเพิ่มการเข้าชมของผู้โฆษณาหรือเพิ่มรายได้ของผู้เผยแพร่โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ ระบบของเราจะกรองการคลิกและการแสดงผลที่ไม่ถูกต้องออกไปโดยอัตโนมัติก่อนที่การคลิกและการแสดงผลดังกล่าวจะถูกเรียกเก็บเงินจากบัญชีของคุณ"


ถ้าคุณหวังว่าจะได้เงินคืนจากยอดที่ Google หักไปแล้วผมบอกได้สั้น ๆ ว่า "โคตรยาก" ปัญหาที่ผมเจอกับ click-fraud โดยมากไม่ได้มาจากผู้ที่คลิ๊กมั่ว ๆ ซั่ว ๆ แต่มาจากคู่แข่งการค้า ถ้าถามผมว่าทีม Bot ที่จะโจมตีคุณมีไหม ผมกล้าบอกเลยว่า "มีครับ" และมักเกิดใน keywords ที่มีการแข่งขันกัน 2-3 ราย. ดังนั้นผมคิดมาเสมอว่าผมไม่กลัวกับ keywords ที่แข่งกันเป็นร้อยแต่ผมกลัวกับ keywords ที่แข่งกัน 2-3 ราย เพราะยิ่งมีคู่แข่งใน keywords มากโอกาสที่จะถูกแกล้งเพื่อตัดคู่แข่งก็น้อยลงเพราะทำอย่างไรก็ไม่เห็นทางที่จะทำให้เป็นรายเดียวที่อยู่ใน keywords นั้น.  แต่กลับ keywords ที่แข่งกัน 2-3 รายคุณอาจจะเจอ จริงไม่จริง คุณคงต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ.

ความเข้าใจที่ผิดพลาด
ผมขอสรุปเป็นข้อ ๆ ไปเลยครับ


1.Google Adwords ช่วยเพิ่มยอดขายให้
ตอบ Google Adwords คือช่องทางดูดเงินจากกระเป๋าคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ถ้าคุณไม่รู้จักมัน. ยอดขายที่คุณทำได้มาจากวิธีที่คุณใช้ Google Adwords ไม่ใช่ตัวของ Adwords เอง


2.ยิ่งค่า CTR กับค่า  CR สูงยิ่งดี
ตอบ ดีสำหรับ Google ครับเพราะแสดงผลโฆษณาน้อยแต่ได้ยอดคลิ๊กมาก ไม่เหนื่อย ซึ่ง Google จะมอบโบนัสให้คุณด้วยการลดค่าคลิ๊กลงแต่เงินในกระเป๋าอาจจะหมดโดยไม่ได้ลูกค้าที่มากจากคลิ๊กเหล่านั้นเลยก็ได้. จากประสบการณ์ของผมทีทั้งผิดก็มากถูกก็มีผมไม่เชื่อทฤษฏีนี้ครับ


ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ


1.ต้องรุ้ทัน Google Adwords

ผมคิดว่านี่คือหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง Google จะไม่มาคอยเตือนเราหรอกครับว่าไม่ควรลงโฆษณาแบบนี้ keywords แบบนี้ เขียน Ads แบบนี้. เรื่องในทางเทคนิคผมคิดว่ามันค่อนข้างยาวบางตำราไทยที่แปลฝรั่งมาก็มีกันเป็นเล่มมากมายใน SEED ผมไม่ขอ comment เพราะไม่เคยอ่าน. สิ่งนึงที่อยากแนะนำครับคือเราควรประเมินผลของโฆษณาให้บ่อยที่สุดเท่าที่มีเวลา คงไม่ต้องถึงกับนั่งเฝ้า แต่ต้องดูแนวโน้มได้ และควรติดตาม interface ใหม่ ๆ ของ Adwords ทีปรับปรุงออกมาเรื่อย ๆ บางครั้งการคลิ๊กเลือกตัวเลือกผิดนิดเดียวก็เป็นหายนะของการทำโฆษณาได้ครับ

2. ต้องรู้ทันตัวเอง
เนื่องจากการลงโฆษณาใน Google เป็นรูปแบบการประมูลแข่งกันใครให้ราคาคลิ๊กดีกว่าก็เลือกแสดงผลของคนนั้น. มันเป็นเรื่องที่ผู้ลงโฆษณาต้องบอกระลึกไว้เสมอว่าการเป็นธุรกิจเล็กทุนน้อยย่อมประมูลสู้ธุรกิจใหญ่เงินหนาได้ยาก. มันเป็นเรื่องปกติครับไม่แปลก บางครั้งการถอยก็เป็นทางเลือกทีดีแต่ไม่ใช่ถอยหนีแต่ถอยแล้วก็ชนะได้ เขียนแบบนี้อาจจะงง แต่มันก็ทำได้นะครับ keywords มีเป็นล้าน ๆ ถ้าลองหาดูคุณจะเจอวิธีที่ใช่สำหรับคุณ ผมเองในตอนแรก ๆ ที่ลง Ads กับ Adwords ก็แทบแย่เหมือนกัน แต่พอจับหลักได้ผมก็สามารถใช้เทคนิคถอยแล้วชนะได้ ยอดค่าใช้จ่ายโฆษณาลดลง แต่ได้ลูกค้ามากขึ้น 2 เท่า บนธุรกิจออนไลน์ที่แข่งขันกันหนักหน่วงธุรกิจนึงเลยนั่นคือธุรกิจ hosting ผมไม่ได้เก่งอะไรเลยผมถอยเพราะสู้รายใหญ่ไม่ได้ในตอนแรกครับและต้องคิดหาเทคนิคเพื่อให้ขายสินค้าได้ไม่งั้นธุรกิจก็เจ๊ง มันเป็นการดิ้นรนเพื่อให้อยุ่รอดต่างหากครับ


จริง ๆ แล้วที่ผมเขียนไว้สองข้อนั้นก็เป็นเพียงหลักกูเท่านั้นครับ บางคน (มีตัวตนจริง ๆ) สามารถทำยอดขายจาก Adwords ได้เป็นล้าน ๆ โดยเสียค่า Ads นิดเดียวเท่านั้น (เมื่อเทียบกับยอดขาย)  โดยแถบไม่รู้เทคนิคอะไรเลย.  แต่ผมมีโอกาสไปวิเคราะห์ดูธุรกิจที่เขาทำผมพบว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อยและรายได้ต่อการซื้อหนึ่งครั้งสูง ซึ่งผมคิดว่าเมื่อไหร่ที่ธุรกิจเขามีคู่แข่งรายอื่นเข้ามามาก ๆ สถานะการณ์มันอาจจะไม่เป็นอย่างนี้แล้วก็ได้ครับ.


จากคุณ : ยิงเสียบสามเหลี่ยม
แหล่งที่มา : http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2010/07/B9519428/B9519428.html
By Pasit.Ap : https://www.facebook.com/Pasit.CRM







Case study 1.0 : เตรียมตัวอย่างไร ? ก่อนออกไปขาย ลูกค้า Online

 


     หลังจากที่เราได้ Source มาแล้วไม่ว่าจะจากแหล่งไหนก็ตาม ขั้นตอนต่อไปที่เราควรจะทำคือ


1.ตรวจสอบชื่่อกิจการ และ เบอร์โทรของลูกค้าในโปรแกรม Advertiser ของเราว่าตอนนี้ ลูกค้าที่เราหามานั้นอยู่ในสถานะใด


2.ตรวจสอบชื่อกิจการ ของลูกค้าใน Search Engine ต่างๆดูว่าลูกค้าเคยโพส ข้อความขายของ หรือ โปรโมทสินค้าของเขาที่ไหนบ้าง หรือ ลูกค้ามี WebSite ของกิจการเขาแล้วหรือยัง หาจุดเชื่อมโยงให้ได้ว่าเราจะเข้าไปขายอะไรเขา?


3.หากลูกค้าเคยโพสขายของ หรือ ฝากลิงค์ไปยัง Web อื่นๆ ลองสังเกตุชื่อคนที่โพสและเบอร์โทรติดต่อ ไม่แน่เราอาจเจอตัว The Man หรือ คนที่จะเชื่อมโยงให้เราไปเจอกับตัว The Man ก็เป็นได้


4.กรณีที่ลูกค้ายังไม่มี WebSite ก็จะเป็นจุดที่ง่ายที่สุดในการยกหูใช้ SaleTalk ของเราเจาะเข้าไปขาย


5.หากลูกค้ามี WebSite อยู่แล้ว เราก็ต้องมาทำการบ้านต่อ ว่า WebSite ของเขามีการเคลื่อนไหวทางโลก Online ไหม, ลูกค้าโปรโมท WebSite เขาทางไหนบ้าง, และ ตัว WebSite ของเขาดูดีมากน้อยเพียงใดในสายตาของผู้ใช้คนอื่นๆทั่วไป


6.เมื่อได้ข้อมูลเบื่องต้นของลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่เราจะทำคือ การโทรติดต่อลูกค้า เพื่อขอโอกาศให้เราได้เข้าไปนำเสนอ Pack Online ต่างๆของเรา ให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ (The Man) ได้พิจารณา


7.เมื่อสามารถนัดหมายกับ The Man ได้แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียม  
   งาน ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
  -หาตัวอย่าง Landing Page ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือ บริการ ที่  
    ลูกค้าขาย จาก  
    http://landingpage.yellowpages.co.th/ 


  - หาตัวอย่าง KeyWord ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของลูกค้า ใน Web 
    Yellowpages ของเรา


  - หาคู่แข่งที่ทำธุรกิจเหมือนของลูกค้า ที่ซื้อ Online Package TypLive กับ Yellowpages เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการเปรียบเทียบ อ้างอิง และ แสดงถึงความนิยม ในการลงโฆษณา Online Package TypLive กับทางYellowpages


8.ขั้นตอนสุดท้ายคือการ คัดเลือก Online Package TypLive ของเราว่า ควรจะนำ เสนอ Package ใดให้แก่ลูกค้า โดยใช้  ข้อมูลเบื้องต้นต่างๆ มาประกอบการพิจารณา ( ควรเลือกไป 2 Package คือ Package ที่เราอยากจะขายให้  ลูกค้า และ Package ที่มีราคาต่ำลงมาในเกณฑ์ที่ลูกค้าน่าจะรับได้ในกรณีที่ไม่เอา ใน Package ที่เรานำ เสนอ)




     หากเรายอมเสียเวลาสักนิดในการค้นหาข้อมูลเบื่องต้นของลูกค้า จะทำให้เราสามารถวางแผนงานในการขาย ในขั้นต่อไปได้อย่างเป็นระบบ และมีโอกาศที่เราจะปิดการขายได้อย่างสมบูรณ์ อย่างสูง

      By Pasit.Ap : www.facebook.com\Pasit.CRM
Published with Blogger-droid v2.0.4

ใน 60 วินาที เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกของ Social Network

ใน 60 วินาที เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกของ Social Network 
ไม่ว่าจะเป็น Twitter Facebook Youtube


ใน 60 วินาที…

- มีการอัพเดทสถานะ Facebook เป็นจำนวน 695,000 สถานะ
- มีการ Tweet มากกว่า 98,000 ครั้ง
- มีคลิปถูกอัพโหลดเข้า Youtube กว่า 600 คลิป คิดเป็นความยาวกว่า 25 ชั่วโมง
- มีการค้นหาด้วย Google กว่า 694,445 ครั้ง
- มีการโทรบน Skype กว่า 370,000 นาที
- มีการดาวน์โหลดแอพบน iPhone กว่า 13,000 ครั้ง
- มีรูปภาพถูกอัพโหลดเข้า flickr กว่า 6,600 ภาพ
- มีโดเมนเนมถูกจดทะเบียนกว่า 70 โดเมน
- มีอีเมลถูกส่งกว่า 168 ล้านฉบับ

   แหล่งที่มา : http://www.go-gulf.com/blog/60-seconds